บทความสุขภาพ

เช็คลิสต์ ! 5 วิธีลดอาการ ปวดคอเรื้อรัง ทำได้ที่บ้าน

5-ways-checklist-chronic-neck-pain-relief
        อาการปวดคอเรื้อรังทำให้คุณตื่นขึ้นมาขยับหรือหมุนคอไม่ได้บ่อยแค่ไหน? ทั้งนี้ปัญหาปวดคอเรื้อรังเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม! จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า อาการปวดคอเรื้อรังส่งผลกระทบต่อประชากรถึงร้อยละ 50-89 โดยเฉพาะในด้านคุณภาพการนอน ที่ผู้ป่วยมักประสบปัญหาการนอนหลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
        อีกทั้งในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ทั้งการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานของวัยทำงาน หรือการก้มมองสมาร์ทโฟนของคนรุ่นใหม่ ทำให้ผู้ที่มีอาการปวดคอสูงถึงร้อยละ 42 และที่น่ากังวลคือ หลายคนมองข้ามอาการเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องปกติ จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความเครียด และประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ และวิธีบรรเทาอาการปวดคอตามหลักการยศาสตร์โดยเฉพาะ

cause-chronic-neck-pain

อะไรคือสาเหตุของอาการปวดคอเรื้อรัง?

1. ท่านั่งและท่านอนที่ไม่เหมาะสม

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตในปัจจุบันมักเกี่ยวข้องกับการนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการก้มมองจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการนอนในท่าที่ไม่สอดคล้องกับแนวกระดูกคอ เช่น การนอนผิดท่า หรือการนอนตกหมอน สิ่งเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ต้องรับแรงกดทับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการเกร็งตัวสะสมจนกลายเป็นก้อนเนื้ออักเสบ นำไปสู่อาการปวดคอเรื้อรังในที่สุด

2. การบริหารกล้ามเนื้อผิดวิธี

มี 2 ลักษณะที่พบบ่อย ได้แก่:
  • การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การออกกำลังกายผิดวิธี หรือการยกของหนักต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณคอทำงานหนักเกินกำลัง
  • การขาดการบริหารกล้ามเนื้อ หรือไม่มีการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ ทำให้กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น
ซึ่งทั้งสองกรณีนี้อาจนำไปสู่การบาดเจ็บและการอักเสบเรื้อรังของกล้ามเนื้อบริเวณคอได้

3. การเกิดอุบัติเหตุ

  • อุบัติเหตุที่ส่งผลต่อบริเวณคอ ไม่ว่าจะเป็นการกระแทก การหันคอผิดจังหวะ หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณคอ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง อาจพัฒนาเป็นอาการปวดคอเรื้อรังได้

4. ภาวะเครียดและความวิตกกังวล

  • ความเครียดและความวิตกกังวลมีผลโดยตรงต่อการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า โดยผู้ที่มีภาวะเหล่านี้มักจะเกิดการเกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งและต่อเนื่องจะนำไปสู่การอักเสบและอาการปวดเรื้อรังได้

5. ภาวะเสื่อมของกระดูกและหมอนรองกระดูก

  • ปัจจัยด้านอายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนั่งก้มคอเป็นเวลานาน สามารถเร่งการเสื่อมของกระดูกสันหลังบริเวณคอและหมอนรองกระดูก ภาวะเสื่อมนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดคอเรื้อรัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
symptom-chronic-neck-pain

อาการแบบไหนเรียกว่าปวดคอเรื้อรัง?

อาการปวดคอเรื้อรัง หมายถึงอาการปวดที่เป็นอยู่นานกว่า 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือน โดยนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็น โดยนับรวมกันตั้งแต่หายจนกลับมาเป็นอีกครั้ง ทั้งนี้ คุณสามารถสังเกตอาการของตนเองได้ว่าคุณกำลังเจอปัญหาปวดคอเรื้อรังอยู่หรือไม่ ดังนี้
  • ปวดร้าวกล้ามเนื้ออยู่ตลอดเวลา: รู้สึกปวดร้าวกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะ คอ บ่า ไหล่ ท้ายทอย หรือหลัง ซึ่งอาจมีอาการปวดตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะเวลากดแล้วรู้สึกเจ็บ ทั้งนี้ความรุนแรงของอาการปวด สามารถเป็นได้ตั้งแต่เริ่มรู้สึกรำคาญไปจนถึงทรมานจนไม่สามารถขยับบริเวณนั้นได้
  • มีอาการชาบริเวณร่างกาย: บางรายอาจมีอาการชาร้าวจากคอไปยังบริเวณมือ หรือมีอาการแขน เท้า และขาอ่อนแรงร่วมด้วย
  • มีอาการปวดศีรษะ: บางรายอาการปวดคออาจทำให้ปวดศีรษะได้ เช่น อาการปวดบริเวณข้างแก้ม ขมับรอบดวงตา บนหนังศีรษะ หรือชาบริเวณใบหน้า เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ตึงจะไปกดทับเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับศีรษะ
  • มีปัญหาในการนอน: บางรายอาการปวดคอเรื้อรังส่งผลให้ปวดจนนอนหลับไม่สนิท มีอาการเครียด ซึมเศร้าร่วมด้วย ส่งผลให้คุณภาพการนอนลดลง
หากคุณประสบกับอาการเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณว่าอาการปวดคอของคุณเข้าขั้นอันตรายแล้ว ดังนั้นจึงควรหาวิธีการจัดการกับอาการปวดคอเรื้อรังเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณ
5-ways-checklist-chronic-neck-pain-relief

5 วิธีลดอาการปวดคอเรื้อรัง ที่ทำได้ด้วยตัวเอง

1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีธรรมชาติที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการปวดคอ คุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก เพียงแค่เลือกกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ การเคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ แต่ทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น และช่วยคลายอาการปวดเกร็งได้ดี โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที

2. บริหารคอและไหล่เป็นประจำ

การบริหารกล้ามเนื้อคอช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ ซึ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดอาการเกร็งและตึงเครียดในกล้ามเนื้อคอ ทั้งนี้ ท่าบริหารที่แนะนำ คือ
  • ท่าที่ 1: นำแขนซ้ายไขว้หลัง จากนั้นใช้มือขวากดและเอียงศีรษะลงไปด้านขวา จนรู้สึกตึงพอดี ค้างไว้ 15 – 20 วินาที ทั้งหมด 20 ครั้ง และสลับข้าง
  • ท่าที่ 2: นำแขนซ้ายไว้หลัง จากนั้นใช้มือขวากดและเอียงศีรษะลง โดยหันหน้าก้มมองสะโพกขวา จนรู้สึกตึงพอดี ค้างไว้ 15 – 20 วินาที ทั้งหมด 20 ครั้ง และสลับข้าง
  • ท่าที่ 3: นำมือ 2 ข้างผสานกันที่ท้ายทอย และก้มคอไปด้านหน้า ให้รู้สึกตึงบริเวณหลังท้ายทอยจนถึงสะบัก ค้างไว้ 15 – 20 วินาที ทั้งหมด 20 ครั้ง และสลับข้าง

3. ประคบอุ่นหรือเย็นบรรเทาอาการ

  • เมื่อรู้สึกปวดคอ การประคบอุ่นหรือเย็นสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบในกล้ามเนื้อคอได้ โดยการประคบเย็นจะเหมาะกับช่วงที่เพิ่งเริ่มปวดหรือมีอาการอักเสบ ส่วนการประคบอุ่นจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดได้ดี คุณสามารถใช้แผ่นประคบหรือผ้าชุบน้ำอุ่น/เย็นประคบบริเวณที่ปวด ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

4. ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน

ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจต้องใช้สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การก้มหน้าเพื่อมองจอจะเพิ่มแรงกดที่คอมากขึ้นและอาจทำให้อาการปวดคอเรื้อรังรุนแรงขึ้นได้ จึงแนะนำว่าควรปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ ได้แก่
  • วางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลังอย่างเหมาะสม
  • วางคีย์บอร์ดในตำแหน่งที่ข้อศอกทำมุม 90 องศา
  • พักสายตาตาม “กฏ 20-20-20” หรือ การพักสายตาทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต 20 วินาที เพื่อช่วยลดอาการปวด คอ บ่าที่อาจเกิดขึ้น

5. ปรับการนอนให้ถูกวิธี

  • การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและลดอาการปวดคอ โดยท่านอนที่แนะนำมี 2 ท่าหลัก คือ นอนหงายโดยใช้หมอนรองใต้คอให้พอดี หรือนอนตะแคงโดยใช้หมอนที่มีความสูงเท่ากับความกว้างของไหล่ ส่วนท่าที่ควรหลีกเลี่ยงคือการนอนคว่ำ เพราะจะทำให้คอต้องบิดไปด้านใดด้านหนึ่ง
  • นอกจากท่านอนแล้ว สภาพแวดล้อมการนอนก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจัดห้องนอนให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป แสงไม่จ้าเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือบนเตียง เพราะมักทำให้เราอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว
        ดังนั้น การดูแลและป้องกันอาการปวดคอเรื้อรังสามารถเริ่มต้นได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ท่านั่ง ท่านอน ไปจนถึงการพักผ่อนอย่างเหมาะสม ซึ่ง Bewell ใส่ใจทุกการออกแบบ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในทุกช่วงเวลา ด้วย ‘เครื่องนอนเพื่อสุขภาพ’ ที่ครบจบทุกปัญหาการนอน ได้ออกแบบหมอนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการลดอาการปวดคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับ Bewell หมอนเออร์โกเคิร์ฟ (ERGOCURVE) เป็นหมอนเพื่อสุขภาพที่ออกแบบโดยนักกายภาพผู้เชี่ยวชาญด้านการยศาสตร์โดยเฉพาะ เพื่อให้หมอนเออร์โกเคิร์ฟเป็นหมอนที่สามารถรองรับกระดูกคอ (C1-C7) และกระดูกสันหลังส่วนบน (T1) ได้อย่างดี โดยหมอนรุ่นนี้ทำจากพรีเมียมเมมโมรี่โฟมที่ช่วยกระจายน้ำหนักการกดทับ และมีการออกแบบที่ได้รับการจดสิทธิบัตร รองรับทุกท่านอนทั้งนอนหงายและนอนตะแคง ช่วยลดแรงกดทับของศีรษะขณะนอนหลับ ทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายและลดอาการปวดคอเรื้อรังได้อย่างแท้จริง และหากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้เลย
Slide
ฟรี! ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ
ปรับท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง
ตามหลัก Ergonomics

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *